“การแจ้งตาย” เรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก

“การแจ้งตาย” เรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก

“การแจ้งตาย” เรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก การ “ตาย” เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว และเวลาที่มีคนในครอบครัวตาย ญาติมักจะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร เนื่องจากกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้า วันนี้เราเลยมีเรื่องราวความรู้และเรื่องเล่าประสบการณ์ “การแจ้งตาย” ที่ไม่ยุ่งยากมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องมาปูพื้นฐานความรู้เล็ก ๆ  น้อย ๆ กันก่อนว่า การตายมีกี่กรณี ผู้แจ้งตายต้องทำอย่างไร และต้องเตรียมหลักฐานเอกสารอะไรบ้าง ?

การแจ้งตาย มี 2 กรณีใหญ่ ๆ จำง่าย ๆ  คือ

  1. กรณีตายในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลต่างๆ กรณีนี้ หลังจากที่ผู้ป่วยตาย แพทย์จะออก หนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) ให้แก่ญาติ เพื่อให้ญาตินำไปรวมกับเอกสารอื่น ๆ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย (ถ้ามี) และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย (ถ้ามี) สำหรับนำไปยื่นให้กับนายทะเบียน ณ ที่ทำการปกครองอำเภอหรือท้องถิ่น ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากตาย เพื่อออกใบมรณบัตร
  2. กรณีตายนอกสถานพยาบาล แบ่งออกเป็น 2 กรณีย่อย คือ
    • กรณีตายในบ้าน เช่น บ้านของผู้ตาย บ้านของญาติพี่น้อง บ้านของเพื่อน ในโรงงานหรือสถานประกอบการต่าง ๆ ผู้แจ้งตายซึ่งอาจเป็นเจ้าบ้านที่มีคนตาย ผู้พบศพ หรือ บุคคลที่ได้รับมอบหมายให้แจ้งการตาย จะต้องแจ้งการตายภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่ตาย หรือพบศพ

ถ้าบ้านผู้ตายอยู่ในเขตท้องที่ที่ทำการปกครองอำเภอ ให้ผู้แจ้งตาย แจ้งต่อผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านจะออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) มาให้ ผู้แจ้งตายจะต้องนำเอกสารดังกล่าว พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย (ถ้ามี) และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย (ถ้ามี) ไปยื่นแก่นายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียนออกใบมรณบัตรให้

ถ้าบ้านผู้ตายอยู่ในเขตท้องที่หรือเทศบาล ให้ไปแจ้งต่อสำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาล เพื่อออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) ให้ญาตินำไปแจ้งขอออกใบมรณบัตรจากสำนักทะเบียนอำเภอท้องถิ่น

  • กรณีตายนอกบ้าน เช่น ตายที่ศาลาพักผู้โดยสาร บนรถยนต์ ทุ่งนาป่าเขา เป็นต้น ผู้แจ้งตายซึ่งเป็นผู้พบศพ จะต้องรีบแจ้งตายภายใน 24 ชั่วโมงหลังพบศพ แต่ถ้าหากพื้นที่ใดมีการเดินทางที่ยากลำบาก และมีระยะทางยาวไกล ทางการจะยืดหยุ่นระยะเวลาการแจ้งตายเอาไว้ว่าสามารถแจ้งตายได้ภายใน 7 วัน หากแจ้งเกินกว่านี้จะต้องถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนวิธีการแจ้งตายและหลักฐานการแจ้งตายจะใช้แบบเดียวกันกับกรณีตายในบ้าน

*** สำหรับกรณีการตายผิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะในบ้านหรือนอกบ้าน เช่น ถูกฆ่าตาย ตกจากที่สูง อุบัติเหตุ งูกัด เป็นต้น จะต้องมีหลักฐานการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนยื่นต่อนายทะเบียน


…เมื่อยื่นหลักฐานต่อนายทะเบียนแล้ว
นายทะเบียนจะทำการจำหน่ายชื่อผู้ตายออกจากทะเบียนบ้าน โดยจะประทับคำว่า “ตาย” เป็นสีแดงไว้หน้ารายการคนตายของทะเบียนบ้าน ก่อนที่จะออกใบมรณบัตรให้ จากนั้นนายทะเบียนจะคืนใบมรณบัตร เอกสารสำเนาทะเบียนบ้านพร้อมบัตรประจำตัวประชาชนคืนให้แก่ผู้แจ้งตาย เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแจ้งตาย…

 

…เพื่อให้เข้าใจกระบวนการแจ้งตายอย่างชัดเจนมากขึ้น เรามีประสบการณ์การแจ้งตายของ“พี่อ้อ” ธนัญญา สระบัวบาน พี่อ้อเป็นแม่บ้านประจำสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวเล่าสู่กันฟังค่ะ

พี่อ้อ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การแจ้งตายถึง 3 กรณีที่แตกต่างกันออกไป…

การแจ้งตายรายแรก เป็นการแจ้งตาย “พี่สาว”  ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งในช่องท้อง ตายในโรงพยาบาล  พี่อ้อเล่าว่าหลังจากพี่สาวตาย แพทย์จะยังไม่ดำเนินการใด ๆ จนกว่าจะครบ 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจก่อนว่าผู้ตายได้เสียชีวิตอย่างแน่นอนแล้ว จากนั้นโรงพยาบาลจึงจะดำเนินการออกหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1)  ก่อนที่พี่อ้อจะดำเนินการเรื่องเคลื่อนศพกลับสู่บ้านเกิดที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อพี่อ้อนำศพพี่สาวมาถึงที่วัดเรียบร้อยแล้ว พี่อ้อจึงได้ดำเนินการแจ้งตาย ณ ที่ทำการปกครองอำเภอเสนา โดยนำหลักฐานซึ่งประกอบไปด้วย หนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1)  ที่ได้จากโรงพยาบาล พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นต่อนายทะเบียน จากนั้นนายทะเบียนจะทำการจำหน่ายชื่อของผู้ตายออกจากทะเบียนบ้าน โดยประทับคำว่า “ตาย” เป็นสีแดงไว้หน้ารายการคนตายในทะเบียนบ้าน  ก่อนที่จะคืนหลักฐานต่าง ๆ ให้กับพี่อ้อ

          การแจ้งตายรายที่ 2 เป็นการแจ้งตาย “คุณย่า”  ซึ่งตายด้วยอาการชราภาพที่บ้าน กรณีนี้พี่อ้อเล่าว่า คุณย่าไม่เคยเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะสุขภาพแข็งแรงดี จะมีเพียงแค่อาการหลง ๆ ลืม ๆ ตามประสาผู้สูงอายุ

คุณย่าได้หมดลมหายใจในวันทำบุญต่อชะตาก่อนวันเกิดเพียง 1 วัน หลังจากนั้นพี่อ้อจึงได้ไปแจ้งตายกับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) ให้ ก่อนที่จะนำใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) พร้อมหลักฐานเอกสารอื่นๆ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นต่อนายทะเบียน เพื่อให้นายทะเบียน ณ ที่ทำการปกครองอำเภอออกใบมรณบัตรให้

          การแจ้งตายรายที่ 3 เป็นการแจ้งตาย “คุณน้า”  ซึ่งป่วยด้วยโรงมะเร็งตับระยะสุดท้าย หมดหนทางรักษา แพทย์จึงให้กลับมาพักที่บ้าน เมื่อคุณน้าตายพี่อ้อก็ได้กลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อให้แพทย์ออกหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) และ ก่อนที่จะนำหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) บัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นกับนายทะเบียน ณ ที่ทำการอำเภอเช่นเดิม

ภาพรวมความแตกต่างของ 3 กรณีนี้คือ พี่สาวของพี่อ้อตายที่โรงพยาบาล ส่วนคุณน้าก็ผ่านการรักษาอาการเจ็บป่วยหนักจากโรงพยาบาลก่อนที่จะกลับมาตายที่บ้าน ดังนั้นพี่อ้อ ซึ่งเป็นผู้แจ้งตายจึงต้องไปขอเอกสารซึ่งประกอบด้วย หนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) จากทางโรพยาบาล ก่อนที่จะนำหนังสือรับรองการตาย (ใบ ท.ร.4/1) บัตรประจำตัวประชาชนผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นกับนายทะเบียน ณ ที่ทำอำเภอ
ส่วนกรณีของคุณย่าซึ่งเป็นการตายด้วยอาการชราภาพที่บ้าน ไม่ได้มีการเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลมาก่อน พี่อ้อจึงไม่ต้องไปติดต่อขอเอกสารที่โรงพยาบาล แต่ต้องไปแจ้งตายที่ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านออกใบรับแจ้งการตาย (ท.ร.4 ตอนหน้า) ให้ ก่อนที่จะนำใบรับแจ้งการตายพร้อมหลักฐานเอกสารอื่นๆ ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้งตาย บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ตาย และสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อคนตาย ไปยื่นต่อนายทะเบียน ณ ที่ทำอำเภอเพื่อให้นายทะเบียนออกใบมรณบัตรให้

จะเห็นได้ว่าเรื่อง “การตาย” อาจเป็นเรื่องทำใจได้ยาก แต่ “การแจ้งตาย” เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ “เตรียมเอกสารให้ครบ ทำตามกฎ และแจ้งตามเวลากำหนด” เท่านั้น

และนี่ก็คือการทำตามกฎหมายไทยครั้งสุดท้ายที่ “เรา” จะสามารถทำให้กับ “ผู้ตาย” ได้ค่ะ

ผู้เขียน รัตนศิริ  ศิระพานิชกุล