วาระที่ยังไม่บรรลุผล: ข้อจำกัดของการศึกษาในระยะที่ผ่านมา
การ ศึกษาในระยะที่ผ่านมายังมีข้อจำกัดที่ต้องการการพัฒนาต่อไปซึ่งประกอบ ด้วยข้อจำกัดด้านวิชาการ และข้อจำกัดด้านปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้
- ด้าน ข้อมูลนำเข้าที่ใช้ในการวิเคราะห์ภาระ โรค มีปัญหาการมีข้อมูลที่ต่อเนื่อง เป็นมาตรฐานเดียวกัน และความถูกต้อง โดยเฉพาะปัญหาความถูกต้องของข้อมูลสาเหตุการตายในมรณบัตรที่ยังคงเป็นปัญหา สำคัญในการประมาณค่าภาระโรค ซึ่งข้อมูลการตายรายสาเหตุเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของภาระโรคทั้งหมด ปัจจุบันสัดส่วนการตายที่สาเหตุไม่แจ้งชัดยังคงสูงถึงร้อยละ 38 ของการตายทั้งหมด ซึ่งการปรับสาเหตุการตายในมรณบัตรด้วยการสอบสวนสาเหตุการตายด้วยการสัมภาษณ์ ประวัติผู้ตาย (Verbal Autopsy: VA) ไปเรื่อยๆเป็นการลงทุนที่สูงมากสำหรับประเทศรายได้ปานกลางและมีเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นกว่า จึงควรต้องพัฒนาแนวทางการศึกษาที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่ในการ ปรับสาเหตุการตายจากมรณบัตร
- คำถามใหม่ทางการวิจัย
- ปัญหา สุขภาพสำคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มสูง ขึ้น เป็นความท้าทายต่อสุขภาพประชากรและการพัฒนาประเทศ แต่ไม่ได้อยู่ในการศึกษาภาระโรคและปัจจัยเสี่ยงที่ผ่านมา เช่น ปัญหาโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ สภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การใช้สารเคมีในการเกษตรและการปนเปื้อนในอาหาร ความรุนแรงจากความขัดแย้งในสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศ โรคจากสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพ เป็นต้น
- การประเมินความแตก ต่างของภาระโรคและ สุขภาพระหว่างกลุ่มประชากรในระดับ เศรษฐานะ อาชีพ หลักประกันสุขภาพ และพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นประเด็นการศึกษาที่ต้องพัฒนาต่อไป เพื่อเชื่อมโยงกับการนำไปใช้ในเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับปัจจัยกำหนดทางสังคม
- การ ศึกษาภาระทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อ ประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากโรคหรือปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญบางประเภท การศึกษาการเปลี่ยนแปลงภาระโรคเพื่อตอบคำถามต่อผลของการดำเนินการทางสุขภาพ บางอย่าง เหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้การศึกษาให้มีความสอดคล้องกับประเด็นทางนโยบาย และได้ถูกนำไปใช้มากขึ้น
- ความทันสมัยและทันต่อเวลาในการนำไปใช้ โดยที่ผ่านมาความถี่ในการจัดทำลำดับของภาระโรคเป็นระยะ 5 ปี ซึ่งมีเหตุผลว่า ระบาดวิทยาของโรคไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงระยะ 5 ปี และข้อมูลที่จัดทำน่าจะใช้ได้ในระยะดังกล่าว เนื่องจากการประมาณค่าภาระโรคนั้นใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ขณะที่พบว่าการจัดทำแผนและนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงทุกปีงบประมาณและต้องการ ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนทุกปี จึงประสบปัญหาว่าผู้บริหารต้องการใช้ข้อมูลในปีใกล้เคียงมากกว่านั้น อีกประการหนึ่งการใช้ข้อมูลที่เป็นชุดเดียวกันในระยะ 5 ปีในการสื่อสารสาธารณะจะไม่เป็นที่สนใจของสื่อสารมวลชน
- การศึกษาภาระโรคในระยะที่ผ่านมายังมีข้อ จำกัดในการสื่อสารโดยตรงกับสาธารณะและผู้กำหนดนโยบาย ทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหาซึ่งการศึกษาที่ผ่านมายังคงยากต่อการทำความเข้า ใจสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้มีหน้าที่ตัดสินใจในเชิงนโยบาย การสื่อสารนี้เป็นกลไกที่สำคัญในการถ่ายทอดสาระจากการศึกษาไปสู่การใช้ ประโยชน์เชิงนโยบายและการขับเคลื่อนสังคมด้วยหลักฐานความรู้ ซึ่งสารที่จะใช้สื่อสารกับสาธารณชนโดยทั่วไปจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม กับผู้รับและควรมีนักสื่อสารมืออาชีพสนับสนุนการดำเนินการเรื่องนี้
- การใช้ประโยชน์จากการศึกษาภาระโรคในกระบวน การนโยบายยังคงมีความจำกัดในปัจจุบัน โดยเป็นการใช้เพื่ออ้างอิงถึงสถานการณ์มากกว่าการใช้เพื่อการตัดสินใจจัดสรร ทรัพยากรโดยตรง เช่น สปสช.ยังคงใช้เพียงข้อมูลจำนวนประชากร และการใช้บริการในการจัดสรรทรัพยากร เป็นต้น ขณะที่การศึกษาภาระโรคยังสามารถพัฒนาให้มีรูปแบบที่หลากหลายและขยายกลุ่ม เป้าหมายในการสื่อสารได้มากขึ้นอีก เช่น ใช้ข้อมูลการจัดลำดับภาระโรคในการจัดสรรทรัพยากรหรือ เปลี่ยนแปลงการจัดสรรทรัพยากร(reallocation) ในการวางแผนและบริหารจัดการระบบสุขภาพ การเปรียบเทียบภาวะสุขภาพในกลุ่มประชากรต่างๆ เพื่อดูความเป็นธรรมทางภาวะสุขภาพ การพยากรณ์ภาวะสุขภาพในอนาคตของประเทศไทย การศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อสุขภาพของ ประชากร เพื่อวางแผนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งประเมินความสูญเสียหรือภาระทางเศรษฐกิจจากปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นจาก ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ดัชนีประเมินภาระสุขภาพของประชากรไทยที่ทันสมัย
ประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 อยู่ในภาวะที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางระบาดวิทยาสามแบบที่ปรากฏซ้อนทับในเวลาเดียวกัน[vi] (รายละเอียดในภาคผนวก 2) ในยุคที่มีการเคลื่อนย้ายของคน แรงงาน สินค้าและบริการ ทุน และข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว การเผชิญกับความท้าทายทางภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างสังคมและวัฒนธรรม การระบาดของโรคติดต่อจากคนและสัตว์ข้ามพรมแดนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการ ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุอย่างเต็มตัวจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ประชากร
ระบบสุขภาพต้องเตรียมพร้อมที่จะรองรับกับภาระซ้ำ ซ้อน ทั้งปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นไปตามวัยที่สูงขึ้นและความพิการในผู้ สูงอายุ โรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำและโรคติดต่อร้ายแรงในประชากรบางกลุ่ม ปัญหาการบาดเจ็บจากการขนส่งและความรุนแรงในสังคม ตลอดจนปัญหาสุขภาพจากสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพ ซึ่งต้องการระบบการประเมินภาระทางสุขภาพที่วัดได้ (measurable) แม่นตรงและสะท้อนภาวะสุขภาพของประชากรที่เกี่ยวข้องกับการชะลอและการแก้ไข ความพิการของโรคเรื้อรัง
การศึกษาภาระโรคและปัจจัยเสี่ยง ที่ผ่านมา สามารถบอกภาระทางสุขภาพในภาพรวมและเปรียบเทียบภาระทางสุขภาพระหว่างโรคภัย และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่เปลี่ยนไป รวมทั้งยังเชื่อมโยงกับ อายุคาดเฉลี่ย การตายที่ป้องกันได้และภาระทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสำคัญในการใช้จัดลำดับความสำคัญของปัญหาในการลงทุนด้านสุขภาพ การจัดสรรทรัพยากร ตลอดจนการติดตามผลการดำเนินงานของระบบสุขภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำให้ ประชากรมีสุขภาพที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวมีข้อจำกัดที่ต้องการการพัฒนาต่อไป ทั้งในเชิงคุณภาพและมาตรฐานของข้อมูลนำเข้า การตอบสนองประเด็นปัญหาและความท้าทายใหม่ๆรวมทั้งขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์ ให้กว้างขวางขึ้น
การพัฒนาดัชนีประเมินภาระทางสุขภาพที่ เป็นระบบดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมี ยุทธศาสตร์ในการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เป็นระบบ มีมาตรฐาน และเชื่อมโยงการขับเคลื่อนนโยบาย การพัฒนาการศึกษาภาระโรคให้มีความต่อเนื่องในระยะต่อไปจึงมีความจำเป็นและ ต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เพื่อวางรากฐานการพัฒนาการวิจัยภาวะสุขภาพประชากรไทยให้ตอบสนองต่อความ ท้าทายต่อสุขภาพประชากรในอนาคต
กรอบแนวคิด
ข้อมูลภาระทาง สุขภาพของประชากรที่ถูกต้องและต่อเนื่องมีความสำคัญในการ บ่งชี้ขนาดและความสำคัญของปัญหาสุขภาพ ที่จำเป็นต่อการจัดสรรทรัพยากรและการจัดลำดับความสำคัญของการควบคุมป้องกัน โรคในการจัดการปัญหาสุขภาพของประเทศ อีกทั้งเป็นข้อมูลสำคัญในการใช้ประเมินเทคโนโลยี ผลกระทบจากนโยบายและมาตรการทางสุขภาพต่างๆ ซึ่งในกระบวนการวางแผนสาธารณสุขของประเทศจำเป็นต้องมีข้อมูลที่แสดงภาระทาง สุขภาพของประชากรในภาพรวมที่มีความแม่นตรงและสามารถเชื่อมโยงให้เกิดการนำไป ใช้ในการกำหนดและติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของประเทศได้
ในการที่จะสามารถนำผลการศึกษาวิจัยไปสู่การกำหนดนโยบายและวางแผนที่มี ประสิทธิภาพนั้น สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศซึ่งเป็นแกนกลางของคณะทำงานศึกษา ภาระโรคและปัจจัยเสี่ยงของประเทศไทย ควรมีบทบาทดังนี้
- เป็นแกนกลางทางวิชาการ พัฒนามาตรฐานการศึกษาภาระโรคและสุขภาพของประชากรไทยในระดับชาติ
- สร้าง ระดม ประสาน สนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายนักวิชาการด้านดัชนีภาระสุขภาพ
- เผยแพร่ข้อมูลการศึกษา สื่อสารและสนับสนุนการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายของภาคีเครือข่าย
โดย มีคณะกรรมการกำกับทิศทางการดำเนินงานเป็นผู้ชี้ทิศทางให้คำปรึกษาและ ประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินงานและมีที่ปรึกษาทางวิชาการในประเด็น วิชาการต่างๆ เป็นผู้กำกับมาตรฐานทางวิชาการ อีกทั้งควรสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลต้นทางเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ ข้อมูลในระยะยาว
ยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานในการพัฒนาดัชนี ประเมินภาระโรคและสุขภาพของ ประชากรไทย ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ให้ทันสมัย การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายวิชาการและนักวิจัยรุ่นใหม่ การสื่อสารเพื่อสนับสนุนการแปลผลการวิจัยสู่นโยบาย การสร้างเครือข่ายและหุ้นส่วนในการทำงาน และการบริหารจัดการที่ดี
ยุทธศาสตร์ ทั้ง 5 ด้านนี้ ครอบคลุมการจัดการภายในและการเชื่อมโยงกับภาคีเครือข่าย เพื่อให้ผลงานวิจัยที่ได้มีคุณภาพและมีข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายและการพัฒนาสุขภาพของประชากรได้อย่างแท้ จริง โดยคาดหวังว่าภายในระยะเวลาดำเนินการ ผลงานวิจัยและข้อมูลที่ได้จะสามารถตอบคำถามที่จำเป็นในการกำหนดนโยบาย การจัดสรรทรัพยากร การกำหนดเป้าหมายและการติดตามผลลัพธ์การปฏิบัติงาน
วิสัยทัศน์
พัฒนาการ วัดภาระทางสุขภาพแบบองค์รวมของประชากรที่มีมาตรฐาน ในการติดตามผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชากรไทย เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายที่นำไปสู่สุขภาวะของสังคมไทย
พันธกิจ
- พัฒนาองค์ความรู้และการวิจัยเครื่องชี้วัดภาวะสุขภาพ/ผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชากร
- พัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายวิชาการและการวิจัยเพื่อบอกภาวะสุขภาพ/ผลลัพธ์ทางสุขภาพของประชากร
- พัฒนาและเชื่อมโยงการนำความรู้และผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายและการสื่อสารสาธารณะ